เซอร์ แอนดรูว์ บาร์รอน มาร์รี[lower-alpha 1] OBE (
อังกฤษ: Andrew Barron Murray;
[5] เกิด: 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1987) เป็นนัก
เทนนิสอาชีพชาย
ชาวสกอต มือวางอันดับ 118 ของโลกคนปัจจุบัน
[6] และเป็นอดีตมือวางอันดับ 1 ของโลกจำนวน 41 สัปดาห์ เจ้าของตำแหน่งชนะเลิศรายการ
แกรนด์สแลมในประเภทชายเดี่ยว 3 สมัย โดยชนะเลิศรายการ
วิมเบิลดัน 2 สมัย (ค.ศ. 2013 และ ค.ศ. 2016) และ
ยูเอสโอเพน 1 สมัย (ค.ศ. 2012) นอกจากนี้เขายังชนะเลิศรายการ
เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ มาสเตอร์ 1000 ได้ 14 สมัย รวมทั้งรายการ
เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล 1 สมัย (ค.ศ. 2016)
[7] มาร์รีเป็นผู้เล่นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้าเหรียญทอง
โอลิมปิกในการแข่งขันประเภทชายเดี่ยวได้ 2 สมัย โดยทำได้ใน
โอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ณ และ
โอลิมปิกฤดูร้อน 2016[8] มาร์รีสามารถคว้าแชมป์ในการแข่งขันประเภทชายเดี่ยวได้รวมทั้งสิ้น 46 รายการและเขาได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักกีฬาจาก
สหราชอาณาจักรที่เก่งที่สุดตลอดกาล
[9][10]มาร์รีสามารถรักษาอันดับโลกโดยติดอันดับ 1 ใน 10 มาตลอดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008 ยาวนานจนถึงเดือนตุลาคม ค.ศ. 2017
[11] เขาได้รับการฝึกสอนและดูแลโดย จูดี้ มาร์รี มารดาของเขาตั้งแต่ยังเด็ก ปัจจุบันเขามี เจมี เดลกาโด เป็นผู้ฝึกสอน มาร์รีถือได้ว่าเป็นนักเทนนิสที่โด่งดังขึ้นมาในยุคที่
โรเจอร์ เฟเดอเรอร์,
ราฟาเอล นาดัล และ
นอวาก จอกอวิช เป็นสามผู้เล่นที่ขับเคี่ยวกันเพื่อแย่งการเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่เขาสามารถสอดแทรกขึ้นมาคว้าแชมป์รายการสำคัญๆได้หลายรายการตลอดระยะเวลาร่วมสิบปีและสามารถเอาชนะสามผู้เล่นดังกล่าวได้หลายครั้ง โดยมาร์รีเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวที่สามารถเอาชนะทั้งเฟเดอเรอร์, นาดัล และจอกอวิชได้อย่างน้อย 7 ครั้งขึ้นไป
[12] เขาได้รับการยกย่องให้อยู่ในกลุ่ม
Big Four[13] หรือสี่นักเทนนิสชายที่เก่งที่สุดในช่วง ค.ศ. 2009 - 2017 ก่อนจะประสบปัญหาอาการบาดเจ็บ ในการแข่งขันระดับแกรนด์สแลม มาร์รีสามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศได้ 3 รายการจากการเข้าชิงชนะเลิศ 11 รายการ เขาเป็นผู้เล่นชายคนที่ 10 ที่สามารถเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมได้ครบทุกรายการ รวมทั้งเข้าชิงชนะเลิศรายการ
ออสเตรเลียนโอเพน 5 สมัย และจากการชนะเลิศรายการวิมเบิลดันได้ใน ค.ศ. 2013 ทำให้มาร์รีเป็นนักเทนนิสจาก
สหราชอาณาจักรคนแรกในรอบ 77 ปีที่ชนะเลิศรายการวิมเบิลดันนับตั้งแต่ เฟร็ด เพอร์รี่
[14] ทำได้ใน ค.ศ. 1936 (นับเฉพาะประเทศหลักได้แก่
อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และ
ไอร์แลนด์เหนือ) ในการแข่งขันระดับนานาชาติ มาร์รีชนะเลิศรายการเดวิสคัพร่วมกับทีมสหราชอาณาจักรได้ใน ค.ศ. 2015
[15] และ รองชนะเลิศรายการฮอพแมนคัพ ใน ค.ศ. 2010เขาขึ้นสู่ตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ของโลกในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2016
[16] ในวัย 29 ปี ซึ่งทำให้มาร์รีเป็นผู้เล่นที่ขึ้นสู่ตำแหน่งอันดับ 1 ของโลกครั้งแรกที่มีอายุมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในประวัติศาสตร์ต่อจาก จอห์น นิวคอมบ์ ผู้เล่น
ชาวออสเตรเลียที่ทำไว้ในปี 1974 ด้วยวัย 30 ปี และถือเป็นผู้เล่นจากสหราชอาณาจักรคนแรกที่สามารถครองตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ของโลกได้ในยุคโอเพน (นับตั้งแต่ ค.ศ. 1973)
[17]"เซอร์ แอนดี มาร์รี" เป็นหนึ่งในบุคคลที่ได้รับเกียรติให้มีรูปอยู่ใน
แสตมป์ของ
รัฐบาลอังกฤษ โดยสแตมป์ที่มีรูปของเขาถูกผลิตออกมาถึงสองครั้งด้วยกัน ครั้งแรกใน ค.ศ. 2012 ภายหลังจากที่เขาสามารถคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันประเภทชายเดี่ยวในกีฬาโอลิมปิค ณ
กรุงลอนดอน และ ครั้งที่สองใน ค.ศ. 2013 หลังจากที่เขาคว้าตำแหน่งชนะเลิศรายการวิมเบิลดันได้เป็นสมัยแรกในการเล่นอาชีพ
[18] ซึ่ง
ราชวงศ์อังกฤษได้ยกย่องและเชิดชูเกียรติแก่มาร์รีด้วยการมอบ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ของ
จักรวรรดิบริติชชั้นพลเรือนรวมทั้งพระราชทานยศ "Sir" หรือยศอัศวินให้แก่เขาใน ค.ศ. 2017 ในฐานะที่สร้างชื่อเสียงอย่างยิ่งใหญ่ให้แก่สหราชอาณาจักรและเขาถือเป็นนักเทนนิสคนที่สองในประวัติศาสตร์ที่ได้รับเกียรตินี้ต่อจาก เซอร์ นอร์แมน บรูค ใน ค.ศ. 1939
[19]ปัจจุบันมาร์รีประสบปัญหาในการเรียกฟอร์มเก่งกลับคืนมาเนื่องจากปัญหาสภาพร่างกาย เขาบาดเจ็บสะโพกใน ค.ศ. 2017 และเข้ารับการ
ผ่าตัดสองครั้งในปี 2018 และ 2019
[20] นับตั้งแต่นั้นเขายังไม่สามารถกลับมาลงแข่งด้วยสภาพร่างกายและฟอร์มการเล่นที่เต็มร้อยได้อีกเลยและอันดับโลกของเขาได้ตกลงไปอย่างมากในปัจจุบัน เขาเคยประกาศเลิกเล่นหลังจบรายการออสเตรเลียนโอเพนใน ค.ศ. 2019 แต่ได้ตัดสินใจลงทำการแข่งขันต่อจนถึงปัจจุบัน